นำเสนอคำคม
เลขที่ 4
เลขที่ 5
บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร
บทบาทของผู้บริหาร
ผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์
เมื่อกล่าวถึงผู้นำ
คนส่วนใหญ่จะคิดถึงภาพของผู้ที่มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต มีอิทธิพล ต่อผู้อื่น
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สามารถสั่งการได้
หรือเดินตามในทิศทางที่ผู้นำก้าวเดินหรือกำหนดให้ ผู้คนเกรงกลัว
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในการบริหาร
ผู้นำยังคงเป็นความคาดหวังสูงสุดในการแบกรับภาระ
นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ แต่ทว่า
บทบาทผู้นำในยุคของพระนเรศวรมหาราชกับผู้นำของวันนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจ หากผู้นำคนใดยังผูกขาดการตัดสินใจ
ไม่ยอมสร้างการมีส่วนร่วม ก็ยากที่จะนำพาองค์กรหรือประเทศอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน
และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ
ผู้นำยุคนี้ต้องทำงานเชิงรุกเพื่อสร้างความได้เปรียบอยู่เสมอ
ความหมายและประเภทของผู้นำ
ผู้นำ
(Leader)
หมายถึง บุคคลที่มีศิลป
บุคลิกภาพ ความสามารถ เหนือบุคคลทั่วไป
สามารถชักจูงให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ต้องการได้ ส่วนความเป็นผู้นำ (Leadership)
เป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อกลุ่ม
เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารทุกคนควรเป็นผู้นำ และมีภาวะผู้นำ
แต่ผู้นำไม่สามารถเป็นผู้บริหารที่ดีได้ทุกคน เพราะผู้บริหารต้องมีทักษะ
มีความสามารถในหน้าที่ของผู้บริหารด้วย
ประเภทของผู้นำ
1. ผู้นำตามอำนาจหน้าที่
เป็นผู้นำโดยอาศัยอำนาจหน้าที่
(Authority)
และมีอำนาจบารมี (Power)
เป็นเครื่องมือ
มีลักษณะที่เป็นทางการ (Formal)
และไม่เป็นทางการ (Informal)
เกิดพลังร่วมของกลุ่มในการดำเนินงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
อำนาจนี้ได้มาจาก กฎหมาย กฎระเบียบ หรือขนบธรรมเนียม ในการปฏิบัติ
จำแนกผู้นำประเภทนี้ออกเป็น 3 แบบ คือ 1 ผู้นำแบบใช้พระเดช 2 ผู้นำแบบใช้พระคุณ 3 ผู้นำแบบพ่อพระ
1.1 ผู้นำแบบใช้พระเดช (Legal Leadership) ผู้นำแบบนี้เป็นผู้นำที่ได้อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาตามกฎหมายมีอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ราชการมาหรือเกิดขึ้นจากตัวผู้นั้น
หรือจากบุคลิกภาพของผู้นั้นเอง ผู้นำแบบนี้ได้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในกระทรวง
ทบวง กรม เช่น รัฐมนตรี อธิบดี หัวหน้ากอง และหัวหน้าแผนก เป็นต้น
1.2
ผู้นำแบบใช้พระคุณ (Charismatic
Leadership) ผู้นำที่ได้อำนาจเกิดขึ้นจากบุคลิกภาพอันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของผู้นั้น
มิใช่อำนาจที่เกิดขึ้นจากตำแหน่งหน้าที่
ความสำเร็จในการครองใจและชนะใจของผู้นำประเภทนี้
ได้มาจากแรงศรัทธาที่ก่อให้ผู้อยู่ใต้บังคับเกิดความเคารพนับถือและเป็นพลังที่จะช่วยผลักดันให้ร่วมจิตร่วมใจกัน
ปฏิบัติตามคำสั่งแนะนำด้วยความเต็มใจ ตัวอย่างได้แก่ มหาตมะคันธี
ซึ่งสามารถใช้ภาวะการเป็นผู้นำครองใจชาวอินเดียนับเป็นจำนวนล้าน
ๆ คน ได้
1.3 ผู้นำแบบพ่อพระ (Symbolic
Leadership) ผู้นำที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายมิได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการปกครองบังคับบัญชา
บุคคลเหล่านั้นปฏิบัติตามเพราะเกิดแรงศรัทธา
หรือสัญญาลักษณ์ในตัวของผู้นั้นมากกว่า เช่น พระมหากษัตริย์
ซึ่งเป็นองค์ประมุขและสัญลักษณ์ของแรงศรัทธาของประชาชนไทยทั้งมวล
2.
ผู้นำตามการใช้อำนาจ
2.1 ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic
Leadership)
หรือ อัตนิยม
คือใช้อำนาจต่าง ๆ ที่มีอยู่ในการสั่งการแบบเผด็จการโดยรวบอำนาจ
ไม่ให้โอกาสแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ตั้งตัวเป็นผู้บงการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังโดยเด็ดขาด
ปฏิบัติการแบบนี้เรียกว่า One
Man Show อยู่ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน
เช่น ฮิตเลอร์
2.2
ผู้นำแบบเสรีนิยม
(Laisser-Faire
Leadership) หรือ
Free-rein
Leadership ผู้นำแบบนี้เกือบไม่มีลักษณะเป็นผู้นำเหลืออยู่เลย
คือ ปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำกิจการใด ๆ ก็ตามได้โดยเสรี
ซึ่งการกระทำนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย กฎระเบียบหรือข้อบังคับที่กำหนดไว้
และตนเป็นผู้ดูแลให้กิจการดำเนินไปได้โดยถูกต้องเท่านั้น มีการตรวจตราน้อยมากและไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือในการดำเนินงานใด
ๆ ทั้งสิ้น
2.3
ผู้นำแบบประชาธิปไตย
(Democratic
Leadership) ผู้นำแบบนี้
เป็นผู้นำที่ประมวลเอาความคิดเห็น
ข้อเสนอแนะจากคณะบุคคลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่มาประชุมร่วมกัน
อภิปรายแสดงความคิดเห็นในปัญหาต่าง ๆ เพื่อนำเอาความคิดที่ดีที่สุดมาใช้ ฉะนั้น
นโยบายและคำสั่งจึงมีลักษณะเป็นของบุคคลโดยเสียงข้างมาก
3. ผู้นำตามบทบาทที่แสดงออก จำแนกเป็น
3
แบบ คือ
3.1 ผู้นำแบบบิดา-มารดา
(Parental
Leadership) ผู้นำแบบนี้ ปฏิบัติตนเหมือนพ่อ-แม่
คือทำตนเป็นพ่อแม่เห็น
ผู้อื่นเป็นเด็ก อาจจะแสดงออกมาในบทบาทของพ่อแม่ที่อบอุ่น ใจดี ให้กำลังใจ
หรืออาจแสดงออกตรงกันข้ามในลักษณะการตำหนิติเตียนวิพากษ์
วิจารณ์
คาดโทษ
แสดงอำนาจ
3.2
ผู้นำแบบนักการเมือง (Manipulater
Leadership) ผู้นำแบบนี้พยายามสะสมและใช้อำนาจ
โดยอาศัยความรอบรู้และตำแหน่งหน้าที่การงานของคนอื่นมาแอบอ้างเพื่อให้ตนได้มีความสำคัญและเข้ากับสถานการณ์นั้น
ๆ ได้ ผู้นำแบบนี้เข้าทำนองว่ายืมมือ
ของผู้บังคับบัญชาของผู้นำแบบนี้อีกชั้นหนึ่ง
โดยเสนอขอให้สั่งการเพื่อประโยชน์แก่การสร้างอิทธิให้แก่ตนเอง
3.3
ผู้นำแบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert
Leadership) ผู้นำแบบนี้เกือบจะเรียกว่าไม่ได้เป็นผู้นำตามความหมายทางการบริหาร
เพราะมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ Staff ผู้นำแบบนี้มักเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้เฉพาะอย่าง
เช่น คุณหมอพรทิพย์ มีความเชี่ยวชาญในการตรวจ DNAถ้าพิจารณาจากบุคลิกภาพอีริก
เบิร์น
จิตแพทย์ชาวอเมริกัน ได้วิเคราะห์โครงสร้างของบุคลิกภาพของคนว่ามีอยู่
3 องค์ประกอบ คือภาวะของความเป็นเด็ก (Child egostate
) ภาวะของการเป็นผู้ใหญ่
(Adult
egostate ) และภาวะของความเป็นผู้ปกครอง (Parents
egostate) ก็จะมองผู้นำได้เป็น
3 แบบ
คือภาวะความเป็นเด็ก
ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ในแบบผู้นำ
คุณสมบัติของผู้นำ
ผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้
จะต้องเป็นมาตั้งแต่เกิด ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาภายหลังได้ (Leader
are bone, not made)
คุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้ผู้นำแตกต่างจากบุคคลทั่วไป
1. ความมุ่งมั่น (drive)
2. แรงจูงใจในการเป็นผู้นำ
(Leadership
Motivation)
3. ความซื่อสัตย์
(Integrity)
4. ความเฉลียวฉลาด
(Intelligence)
5. ความมั่นใจในตัวเอง
(Self-confidence)
6. ความรอบรู้ในสิ่งที่ตนเองทำ
(Knowledge
of the Business)
ภาวะผู้นำ
(Leadership)
กระบวนการหรือพฤติกรรมการใช้อิทธิพลเพื่อควบคุม
สั่งการ เกลี้ยกล่อม จูงใจ ให้ผู้ตามหรือกลุ่ม ปฏิบัติตามเพื่อการบรรลุเป้าหมาย
หรือความเป็นผู้นำนั้นเอง คุณสมบัติของผู้นำมีหลายอย่าง หลายด้าน
ผู้นำจะต้องมีความสามารถในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องและได้ผลดี
โดยมีองค์ประกอบดังนี้
1. ตัวผู้นำ
2.
ผู้ตาม
3. จุดหมาย
4.
หลักการและวิธีการ
5. สิ่งที่จะทำ
6.สถานการณ์
ลักษณะของผู้นำในทศวรรษหน้า
1.
เป็นผู้บริหารที่ไม่มากเกินไปในทางใดทางหนึ่ง คือ
ไม่ใช่ผู้นำที่มุ่งแต่งานอย่างเดียว หรือมุ่งที่คนอย่างเดียว
2.
ผู้บริหารเน้นการสร้างให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีความเป็นเลิศในทุกด้าน
3.
วิธีการแก้ปัญหาของผู้นำจะใช้ผู้ปฏิบัติงานแก้เอง
4.
ผู้นำจะมอบอำนาจ
จนพอที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถใช้อำนาจนั้นให้งานสำเร็จในตัว
5.ผู้นำเน้นคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงานที่สามารุทำงานเป็นทีมได้อย่างดี
บทบาทหน้าที่ของผู้นำ
1. ชี้แนะ
ให้คำปรึกษา กำกับดูแล (Coaching)
2. เปลี่ยนทัศนคติลึก ๆ ในตัวคน
3.
ดึงศักยภาพที่มีอยู่ โดยไม่ต้องเอาความรู้ข้างนอกมามากนัก
4.
ทำให้สถานที่ทำงานเป็นที่รักของพนักงาน
5. Full fill Basic Need ให้คนในองค์การ เช่น ให้ตำแหน่ง
6.
ดึงคนให้หลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว ทัศนคติต้องเปลี่ยน
ผู้บริหารแบ่งออกเป็น
5 ประเภท คือ
1. ผู้บริหารแบบ Impoverished
จะเป็นผู้บริหารที่ไม่สนใจทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาและเรื่องงาน
เป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ที่สุด
2. ผู้บริหารแบบ
Country
Club เป็นผู้บริหารที่มุ่งเน้นเรื่องความทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา
แต่จะไม่มุ่งเน้นเรื่องงาน
ดังนั้นผู้บริหารแบบนี้เป็นผู้บริหารที่ผู้ใต้บังคับบัญชาชอบ
แต่งานที่รับผิดชอบมักจะไม่บรรลุเป้าหมาย
3. ผู้บริหารแบบ
Authority-Compliance
เป็นผู้บริหารที่มุ่งแต่เรื่องงานโดยไม่คำนึงถึงเรื่องจิตใจของผู้ใต้บังคับบัญชา
แม้ว่างานที่รับผิดชอบอาจจะบรรลุผล แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจจะไม่พอใจ
ผู้ที่ทำงานด้วยจะอึดอัดใจ อาจจะลงท้ายความขัดแย้งในที่สุด
4. ผู้นำแบบ
Middle
the
Road เป็นผู้บริหารที่พอได้ทั้งเรื่องคนและเรื่องงานผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานด้วยก็พอใจในระดับหนึ่งงานที่รับผิดชอบก็สำเร็จอยู่บ้าง
5. ผู้บริหาร Team
เป็นผู้บริหารที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา
และยังสามารถทำงานได้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายอีกด้วยเป็นลักษณะผู้บริหารที่พึงประสงค์ที่สุดในบรรดาผู้บริหารแบบอื่น
ๆ
คุณลักษณะของผู้บริหาร
1.
Vision
เป็นผู้มีวิสัยทัศน์
2.
Charisma
เป็นผู้มีเสน่ห์ มีแรงดึงดูด
สร้างความเชื่อให้คนเกิดความศรัทธา
คล้อยตามได้
3.
Integrity มีความเป็นปึกแผ่น
เหนียวแน่น
4.
Self
– Less ทำอะไรไม่นึกถึงตนเองแต่คำนึงถึงส่วนรวม
5.
Courage มีความกล้าหาญ
6.
Uncompromising ไม่ยอมอ่อนในเรื่องบางเรื่อง
7.
High Ground
ความมีมาตรฐานในตัวเองมีความซื่อสัตย์ และมีความโปร่งใสสูง
8. Listening
รู้จักฟัง
9.
Fairness มีความยุติธรรมเที่ยงธรรม
10. Sense
of Time มีสติ รู้ทันเหตุการณ์ว่าต้องทำอะไร
11. Know
Others Know Oneself เข้าใจคนอื่นและเข้าใจตนเอง
หรือรู้เขารู้เรา
12. Judgment
ยุติธรรม
13. Inspiring มีความมุ่งมั่น
14. Faith
มีความเชื่อมั่น ศรัทธา
15. lnstitutional มีความเป็นองค์กรนั้น
ระดับผู้บริหารและอำนาจหน้าที่
1. ผู้บริหารหรือหัวหน้างานระดับต้น First
– Line Manager
ทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุมงานเท่านั้นจัดการงานเท่าที่ได้รับคำสั่งให้ทำ
จึงไม่ถึงขีดขั้นที่จะเข้าระดับ “ผู้จัดการ” โดยปกติจะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น
หัวหน้างาน (Foreman)
ผู้ตรวจงาน หรือผู้ควบคุมงาน (Supervisor)
หรือหัวหน้าแผนก (Section
Chief) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
2. ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Managers) ได้แก่ตำแหน่ง
ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการฝ่ายผลิต
หัวหน้าวิศวกร ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
ฯลฯดังนั้นอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับกลาง Middle
Management มีดังนี้
1 วางแผนระยะกลาง
เพื่อสอดคล้องรองรับกับแผนระยะยาวขององค์การที่ได้วางไว้โดยผู้บริหารระดับสูง
2 กำหนดนโยบายของแต่ละฝ่ายงาน
3 วัดและประเมินผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชา และหัวหน้างานทั้งหลายในสายงานของตน
4 แจกจ่ายมอบหมายงาน ประสานงาน
และตรวจสอบควบคุมเพื่อให้งานเป็นไปตามแผนงานระยะสั้นของหัวหน้าระดับต้น ดำเนินไปโดยราบรื่นสอดคล้องกับแผนระยะกลางและระยะยาว
3. ผู้บริหารระดับสูง (Top
Managers) ได้แก่ ตำแหน่ง
ประธานกรรมการบริษัท
ประธานบริษัท
ผู้บริหารระดับสูงหรือรองประธาน
ผู้อำนวยการหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการ
หรือ รวมถึง ตำแหน่งผู้ว่าการ เลขาธิการ
อธิบดี ปลัดกระทรวง เป็นต้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบ
การจัดการระดับสูง (Top
Management) หรือการบริหารระดับสูง (Top
Executive) งานที่ทำได้แก่
-
พิจารณาและทบทวนแผนกลยุทธ์
แผนระยะยาว
-
ประเมินผลการปฏิบัติงานของแผนงานหลักต่าง ๆ
-
ประเมินเจ้าหน้าที่ชั้นบริหาร
และเตรียมการคัดเลือกนักบริหารตำแหน่งสำคัญ
-
ปรึกษาหารือกับผู้บริหารระดับรองลงไปในเรื่องราวและปัญหาสำคัญต่าง ๆ
การบริหารงานให้บรรลุเป้าหมาย
ต้องอาศัยทรัพยากรขององค์การขั้นพื้นฐาน
คนเงิน วัตถุดิบ และทุน
เป้าหมายของผู้บริหารทุกคนคือการทำให้เกิดผลกำไรและเพิ่มผลผลิต (ผลิตภาพ)
นั่นคือการทำให้อัตราส่วนระหว่างผลผลิต (output) และปัจจัยการผลิต
(input)
เป็นที่น่าพอใจภายในเวลาที่กำหนดอย่างมีคุณภาพและบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยมีเป้าหมายจะให้บังเกิดสิ่งต่อไปนี้คือ
การเพิ่มผลผลิต
หรือผลิตภาพ (Productivity)
หมายถึง ประสิทธิผล (effectiveness)
และประสิทธิภาพ (efficiency)
ในการปฏิบัติงานของแต่ละบุคคล
รวมตลอดของทั้งองค์การ
ประสิทธิผล
(effectiveness)
คือ
การบรรลุถึงวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายตามที่ต้องการ คือมองตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
ส่วนประสิทธิภาพ (efficiency)
นั่นคือความสามารถในการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุด
ระบบการบริหารแบ่งเป็น 2 ประเภท
คือ
1. ระบบเปิด (Open
system) เป็นองค์การซึ่งดำเนินภายในและมีการปฏิสัมพัทธ์
(interacts)
กับสภาวะแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก
วิธีการบริหารงานอย่างอย่างมีระบบนั้นประกอบไปด้วย
ปัจจัยจากสภาวะแวดล้อมภายนอกและจากการเรียกร้องขบวนการแปลงสภาพ
ระบบการติดต่อสื่อสาร
2. ระบบปิด
(Closed
System) เป็นระบบที่ไม่ต้องการอิทธิพลใด ๆ
จากภายนอกและไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ
ธุรกิจมักจะมองแต่ภายในองค์การของตนเองมากกว่าท่าจะสนใจกับสภาพแวดล้อม รอบ ๆ
ตัวธุรกิจไม่ว่าจะเป็นลูกค้า รสนิยมผู้บริโภค สภาพการณ์ของตลาด ฯลฯ
จากการสำรวจผู้บริหารที่มีประสิทธิผลกับผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจะใช้เวลาในการทุ่มเทให้กับกิจกรรมดังกล่าวต่างกันคือผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ (Successful
Managers) ซึ่งก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้เร็วกว่าผู้อื่น
จะเน้นกิจกรรมด้าน Networking
มากที่สุดทำกิจกรรมด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์น้อยที่สุด
ส่วนผู้บริหารที่ตั้งใจทำงานให้เกิดประสิทธิผล (Effective
Manager) ซึ่งพิจารณาจากปริมาณและคุณภาพของการปฏิบัติงานเป็นเครื่องวัดนั้น
จะเน้นด้านการติดต่อสื่อสาร
(Communication)
การบริหารทรัพยากรมนุษย์และงานด้านการบริหารตามลำดับ
ส่วนกิจกรรมด้าน
networking
จะทำน้อยที่สุด
ความรู้ที่ได้รับ
ประเมินตนเอง
ได้ทราบถึงคุณสมบัติของผู้บริหารที่ดี และทำกิจกรรมต่างๆในคาบอบ่างสนุกสนาน
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
เพื่อนให้ความร่วมมือดี
ประเมินอาจารย์ผู้สอน
อาจารย์แนะนำการสอนอย่างละเอียด
อาจารย์มีความสุขไปกับนักศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น